วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศในประเทศไทย

ภูสอยดาวตั้งอยู่ที่ไหน?

อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำปาด ท้องที่ตำบลม่วงเจ็ดต้น ตำบลนาขุม ตำบลบ้านโคกอำเภอบ้านโคกตำบลห้วยมุ่นอำเภอน้ำปาดจังหวัดอุตรดิตถ์ตำบลบ่อภาคอำเภอชาติตระการจังหวัดพิษณุโลก เป็นพื้นที่ที่มีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ปกคลุมไปด้วยป่าธรรมชาติที่สวยงาม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร ยอดสูงสุดของภูสอยดาวสูง จากระดับน้ำทะเล 2,102 เมตร ซึ่งสูงเป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย

การเดินทางไปภูสอยดาว

โดยรถยนต์

จากจังหวัดพิษณุโลก ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 แล้วแยกเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1246 ถึงบ้านแพะแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 1143 ผ่านอำเภอชาติตระการ แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 1237 ผ่านบ้านบ่อภาคไปบรรจบกับเส้นทางแผ่นดินหมายเลข 1268 ถึงน้ำตกภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว รวมระยะทางประมาณ 188 กิโลเมตร
จากจังหวัดอุตรดิตถ์ใช้ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1047 (อุตรดิตถ์-น้ำปาด) จนถึงอำเภอน้ำปาดแล้วเข้าสู่ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1239 ไปอีก 47 กิโลเมตร จึงเข้าสู่ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1268 ไปอีก 18 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ รวมระยะทางประมาณ 133 กิโลเมตร

โดยรถประจำทาง 


1.เริ่มจากการเดินทางจากกรุงเทพที่สถานีขนส่งหมอชิตซื้อตั๋วไปลงที่จังหวัดพิษณุโลกราคาเริ่มต้นประมาณ 300 กว่าบาท (การเดินทางมาที่  จ.พิษณุโลก ดูจะสะดวกกว่าและนักเดินทางนิยมใช้เส้นทางนี้)ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
2.ควรกะเวลาให้พอดีมาถึงที่นี่ประมาณตี 5 ให้ทันรถประจำทางไปอ.ชาติตระการเที่ยวแรก ราคาประมาณ 80 บาท ใช้เวลาประมาณ  3 ชั่วโมง  (หรือจะใช้บริการเหารรถแท็กซี่หรือสองแถวที่ขนส่งให้ไปส่งที่ถูสอยดาวเลยก็ได้มีบริการประมาณ 2500 บาทต่อเที่ยว ไม่รอรับกลับ ถ้าให้มารับกลับต้องคุยราคากับเขาดูน่าจะแพงมากเพราะเขาต้องตีไปตีกลับหลายเที่ยว
3.เมื่อไปถึงอ.ชาติตระการก็ต่อวินมอเตอร์ไซต์ไปลงที่ตลาด อยู่ไม่ไกลนัก  ประมาณ 20 บาท หาไรกินลองทองที่ตลาดรอรถสองแถว
4.จากนั้นรอรถสองแถวสีส้มจะออกจากตลาดชาติตระการ 10.30 กับ 12.30 เท่านั้นในแต่ล่ะวัน(อาจมีการคลาดเคลื่อน)และต้องสอบถามก่อนว่าเวลาไหนจะผ่านไปภูสอยดาวบางที 10.30 อาจจะไม่ผ่าน ก็ต้องนั่ง 12.30 ไปถ้าเวลา 10.30 ผ่านก็ไปถึงเกือบบ่าย 2 ก็ยังพอขึ้นภูสอยดาวทัน(แต่ฝีท้าวต้องขั้นโปร) เวลา 12.30 ก็ถัดไปอีกถ้าเดินไวก็ยังขึ้นได้ ราคาคนละ 100 บาท
5. ส่วนคนที่เดินทางโดยรถสองแถวจะมีปัญหาตอนขากลับ คือบางวันอาจไม่มีรถสองแถว หรือมีแต่เราอาจจะลงมาไม่ทัน ถ้าไม่มีรถขากลับหรืออาจจะลองนัดหมายกับคนขับดูตกลงเรื่องราคาและวันกลับให้ดี ไม่งั้นอาจต้องนอนต่อข้างล่างอีกคืน อิอิ หรือมีอีกวิธีที่คือขอติดรถคนอื่นมาลงที่อ.ชาติตระการ หรือบางทีอาจจะโชคดีเค้ามาที่ตัวเมืองพิษณุโลก วิธีนี้จะใช้ได้ผลก็ต้องมี สมาชิกประมาณ 1-3 คน ดูจะง่ายในการขอเค้าติดรถ

***รถโดยสารชาติตระการ-พิษณุโลก ช่วงบ่ายมีน้อยกว่าช่วงเช้า โดยจะมี 14.00 กับ 17.00 (น่าจะทันเที่ยว 5 โมงเย็น)

โดยรถไฟ

1.ซื้อตั๋วรถไฟไปพิษณุโลกที่สถานีรถไฟหัวลำโพง รอบประมาณ20.55 ถึงพิษณุโลก 05.23 ราคา 179 รถเร็วขบวน 115 (หรืออาจจะนั่งรถธรรมดาขบวน 201 เวลา 09.25 ถึงพิษณุโลก 17.50 รถฟรี ไปนอนที่พิษณุโลกก่อนหนึ่งคืน)    
2.นั่งรถสามล้อ หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปลงที่สถานีขนส่งเพื่อต่อรถไปอ.ชาติตระการ 


จุดเด่นที่น่าสนใจและควรไปช่วงไหน?


จุดเด่นที่น่าสนใจและเป็นที่ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยว คือ การได้ชมทุ่งดอกไม้สีม่วงที่เรียกว่า"ดอกหงอนนาค" และดอกไม้หลากสีสันสลับให้เห็นอยู่ทั่วลานสน ซึ่งจะบานในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือน ส.ค. - ก.ย ของทุกปี


ทุ่งดอกไม้ป่าบริเวณลานสน








                                                            น้ำตกสายทิพย์
เป็นน้ำตกขนาดเล็ก มี 7 ชั้น ความสูงแต่ละชั้นประมาณ 5-10 เมตร สภาพป่าโดยรอบน้ำตกมีความชุ่มชื้นมากจึงมีมอสส์สีเขียว ขึ้นปกคลุมทั่วไปตามก้อนหินริมน้ำ สามารถเดินทางได้จากลานสน ทางลาดชันใช้เวลาเดินประมาณ 10-20 นาที





                                              เนินมรณะ ชันสูงที่สุดแต่วิวสวยมาก





แนะนำที่พักและอาหาร


กางเต็นท์บนยอดลานสน
บริเวณที่ตั้งแค้มป์ทุ่งโนนสน จะอยู่บริเวณเกาะกลางที่เป็นป่าสน อยู่ใกล้กับลำห้วยเล็กๆ มีห้องน้ำบริการ (แต่ตักน้ำเองจากลำห้วยเล็กๆ) ควรเตรียมเสบียงอาหารไปให้เพียงพอ (ในช่วงเทศกาลจะมีของขายอยู่บ้าง) อุทยานแห่งชาติจัดเตรียมเต็นท์และสถานที่กางเต็นท์ ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยว การสำรองที่พักเต็นท์สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดและสำรองที่พักเต็นท์ได้กับอุทยานแห่งชาติโดยตรง



ยามเย็นยิ่งสวยมาก

อาหารจะทำกินเอง





สิ่งที่ประทับใจคือ ความเป็นธรรมชาติที่มีความอุดมสมบุรณ์และร่ายล้อมไปด้วยหุบเขาและหมอกปกครุมอยู่รอบๆป่าและการที่มีมิตรภาพที่ดีไปด้วยและในการเดินทางในครั้งนี้ทำให้เห็นถึงความเป็นมิตรภาพที่ดีอีกด้วย...........





วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศในประเทศไทย

ดอยอินทนนท์

อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
        ป่าดอยอินทนนท์นั้นเดิมเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ต่อมาเมื่อได้มีการสำรวจทางอากาศพบว่า ป่าแห่งนี้มีสภาพสมบูรณ์มาก เป็นต้นน้ำลำธาร มีทิวทัศน์และเอกลักษณ์ทางสภาพธรรมชาติสวยงาม และเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติในสมัยนั้นสภาบริหารคณะปฏิวัติ (หัวหน้าคณะปฏิวัติคือ จอมพล ถนอม กิตติขจร) จึงได้อนุมัติหลักการให้กรมป่าไม้ดำเนินการ ที่ดินป่าดอยอินทนนท์ในท้องที่ตำบลบ้านหลวง 

 สถานที่ตั้ง

ตั้งอยู่ในพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และ อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ประมาณ 482.4 ตารางกิโลเมตร หรือ 301,500 ไร่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย พาดผ่านจากประเทศเนปาล ภูฐาน พม่า เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย

การเดินทางไปดอยอินทนนท์
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
ระยะทางจากตัวเมืองขึ้นไปจนถึงยอดดอยอินทนนท์ประมาณ 106 กิโลเมตร ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ไป ตามทางหลวงหมายเลข 108 เชียงใหม่-จอมทอง ถึงหลักกิโลเมตรที่ 57 ก่อนถึงอำเภอจอมทอง 1 กิโลเมตร แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 สายจอมทอง-อินทนนท์ ระยะทาง 48 กิโลเมตรถึงยอดดอยอินทนนท์ เป็นถนนลาดยางอย่างดีแต่ทางค่อนข้างสูงชัน รถที่นำขึ้นไปจะต้องมีสภาพดี
2. รถโดยสารประจำทาง
นั่งรถสองแถวสายเชียงใหม่-จอมทองบริเวณประตูเชียงใหม่ จากนั้นขึ้นรถสองแถวที่หน้าวัดพระธาตุศรีจอมทอง วรวิหารหรือที่น้ำตกแม่กลาง ซึ่งจะเป็นรถโดยสารประจำทางไปจนถึงที่ทำการอุทยานฯตรงหลักกิโลเมตรที่ 31 และหมู่บ้านใกล้เคียงแต่หากต้องการจะไปยังจุดต่าง ๆ  ต้องเหมาไปคันละประมาณ 800 บาท

ดอยอินทนนท์ ควรไปช่วงไหน ?
ดอยอินทนนท์ ไปได้ทุกฤดู  แต่ละฤดู ก็มีสีสันแตกต่างกันไป
ฤดูหนาว ก็เจออากาศอันเย็นที่สุด เท่าที่จะเย็นได้ในประเทศไทย  
เย็นจนเกิดน้ำค้างแข็ง หรือ เหมยขาบ แม่คะนิ้ง แล้วแต่จะเรียกกันไปตามแต่ละภาค
พอเลยมานิดนึง ช่วงวันเด็ก  ยังไม่ทันหายหนาว ก็มี ดอกนางพญาเสือโคร่ง ซากุระเมืองไทยบานเต็มไปหมด  
สวยตั้งแต่เริ่มบาน ยันกลีบร่วงกันเลยทีเดียว 
หน้าร้อน  ถึงในเมืองร้อนตับแตก  มีแต่หมอกควันมองไปทางใหนก็เหลืองระอุไปหมด   แต่พอไปถึงยอดดอย ก็ยังเจอฟ้าใสๆ มีอากาศเย็นๆ
สิบ - ยี่สิบองศา  ให้ได้ชื่นใจ
หน้าฝน  เป็นหน้าโลว์ ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว  ไม่ต้องแย่งกันกิน แย่งกันใช้   ขับรถขึ้นไปเงียบสนิท  มีรถผมอยู่คันเดียวทั้งดอย  แต่ก็เขียวชื่นใจ
ร่มรื่นชื่นเย็น
ปลายฝนต้นหนาว ก็มีนาข้าวขั้นบันได เขียวขจีให้ได้ชื่นชม

จุดเด่นที่น่าสนใจที่ดอยอินทนนท์

ยอดดอยอินทนนท์
                  จุดสิ้นสุดของทางหลวงหมายเลข 1009 เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย (2,565 เมตร) มีสภาพอากาศ หนาวเย็นตลอดปี เป็นที่ตั้งสถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศไทยและเป็นที่ประดิษฐานสถูปเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้ายซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของป่าไม้และหวงแหนดอยหลวงเป็นอย่างมากต้องการที่จะ อนุรักษ์ไว้จนชั่วลูกชั่วหลาน ท่านผูกพันกับที่นี่มากจึงสั่งว่าหากสิ้นพระชนม์ไปแล้วให้แบ่งเอาอัฐิส่วนหนึ่งมาไว้ที่นี่

พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ
                    ตรงหลักกิโลเมตรที่ 41.5 ทางด้านซ้ายมือ สร้างขึ้นโดยกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทยโดยพระมหาธาตุ นภเมทนีดล สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสทรงเจริญ พระชนมพรรษา ครบ 5 รอบเมื่อพ.ศ. 2530และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิรสร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ใน วโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อพ.ศ. 2535 พระมหาธาตุทั้ง 2 องค์นี้ มีรูปทรงคล้ายคลึงกัน คือ ฐานเป็นรูป12 เหลี่ยมมีระเบียงแก้วโดยรอบเป็น 2 ระดับ ยอดปลีขององค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริก ธาตุ และ พระพุทธรูปบูชารอบบริเวณสามารถมองเห็นทิวทัศน์์ของดอยอินทนนท์ได้อย่างสวยงาม





เส้นทางศึกษาธรรมชาติบนดอยอินทนนท์ กิ่วแม่ปาน
                ทางเข้าอยู่กิโลเมตรที่ 42 ด้านซ้ายมือ ระยะทางเดิน 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 3 ชั่วโมง เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติแท้จริง ระหว่างทางเดินจะพบป่าดิบเขา (Hill Evergreen)ก่อนผ่านเข้าสู่ทุ่งหญ้าซึ่ง เคยเป็นพื้นที่ี่ป่าถูกทำลาย เพื่อเป็นการศึกษาลักษณะการเกิดผลกระทบต่อเนื่องบริเวณรอยต่อระหว่างพื้นที่ป่า สมบูรณ์ กับพื้นที่ถูกทำลาย หลังจากนั้นทางเดินจะเลาะริมผามีไอหมอกปลิวผ่านตลอดเวลา จะพบ ดอกกุหลาบพันปี หรือ Rhododendron(ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก ขึ้นตามป่าในระดับสูงมีพันธุ์ดอกสีขาวและ สีแดง เวลาออกดอกช่วงแรกมีลักษณะเหมือนปลี กล้วย ก่อนที่จะบานเต็มต้นในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ พบมากในแถบเทือกเขาหิมาลัยและเป็นไม้ประจำชาติของเนปาลด้วย)  มองลงไปยังเบื้องล่างจะพบทัศนียภาพ ที่งดงามของอำเภอแม่แจ่มการใช้เส้นทางนี้ต้องลงทะเบียนขอรับใบอนุญาตให้ใช้เส้นทางโดยติดต่อที่ ศูนย์ ประชาสัมพันธ์อุทยานฯ และควรจัดกลุ่มละไม่เกิน 15 คน ทางอุทยานฯไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้าไปรับประทาน ในเส้นทางในช่วงฤดูฝน และจะปิดเส้นทางเพื่อให้ธรรมชาติฟื้นตัวไม่อนุญาติให้เข้าไปท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึงวันที่ 30 ตุลาคม ของทุกปี เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานแห่งนี้  ได้รับรางวัลดีเด่นประเภทแหล่ง ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ  รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ครั้งที่ 4 ประจำปี พ.ศ. 2545 เพราะมีการจัดการที่เน้นความเป็น ธรรมชาติ ระหว่างทางมีป้ายสื่อความ หมายให้ความรู้กับนักท่องเที่ยว และประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมใน การนำเที่ยว










อ่างกาหลวง
              เส้นทางนี้สำรวจวางแนวและออกแบบเส้นทางเดินโดย คุณไมเคิล แมคมิลแลน วอลซ์ นักสัตววิทยาและอาสา สมัครชาวแคนาดา ประจำอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์  ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ทำงานทุ่มเทให้กับอินทนนท์ และได้ เสียชีวิตที่นี่ด้วยโรคหัวใจ  เส้นทางนี้มี ระยะทาง 1,800 เมตร พื้นที่นี้เป็นหนองน้ำซับในหุบเขา  จุดเด่นที่น่าสนใจ คือ ป่าดิบเขาระดับสูง ลักษณะของพรรณไม้เขต อบอุ่น ผสมกับเขตร้อนที่พบเฉพาะในระดับสูง การสะสมของ อินทรียวัตถุในป่าดิบเขา ลักษณะ อากาศเฉพาะถิ่น  พืชที่อาศัยเกาะติด ต้นไม้ ลักษณะของต้นน้ำลำธาร และ ลักษณะของต้นไม้บนดอยอ่างกา เช่น ต้นข้าวตอกฤาษีที่ขึ้นตามพื้นดิน (ข้าวตอกฤาษี เป็นพืชที่ต้องการ ความ อุดมสมบูรณ์สูงจะขึ้นในที่สูงกว่า 2,000 เมตร เท่านั้น และเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มชื้น อากาศเย็น) กุหลาบพันปี เป็นต้น ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ อีกหลายเส้น เช่น เส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิโลเมตรที่ 38 และ เส้นทางศึกษา ธรรมชาติกลุ่มน้ำตกแม่ปาน เป็นต้น แต่ละเส้นใช้เวลาในการเดินต่างกัน ตั้งแต่ 20 นาที – 7 ชั่วโมง และเหมาะที่จะศึกษา สภาพ ธรรมชาติที่ต่างกันด้วย ศึกษารายละเอียดเส้นทางได้จากที่ทำการอุทยานฯ และจะ ต้องติดต่อ ขอเจ้าหน้าที่นำทาง จากที่ ทำการฯ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 31 เพื่อป้องกันการทำลายทรัพยากร ธรรมชาติ และปัญหา ที่อาจจะเกิดขึ้น และเป็นการส่งเสริม ให้เกิดการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การใช้สถานที่เพื่อการ พักค้างแรมหรือจัด กิจกรรมอื่น นอกเหนือจากบริเวณที่ทำการ อุทยานแห่งชาติ ดอยอินทนนท์ ต้องขออนุญาต จากหัวหน้า อุทยานฯ เป็นลายลักษณ์อักษร 





น้ำตกวชิรธาร
          เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เดิมชื่อ “ตาดฆ้องโยง” น้ำจะดิ่งจากผาด้านบนตกลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง ในช่วงที่มีน้ำมาก ละอองน้ำจะสาด กระเซ็นไปทั่วบริเวณรู้สึกได้ถึงความเย็นและชุ่มชื้น และสะพานไม้ที่ทอดยาวเข้าไปหาหน้าผา นั้นจะเปียกลื่นอยตลอดเวลา แต่หากเดินเข้าไปจนสุดจะได้สัมผัสกับความงามของน้ำตกมากที่สุด


น้ำตกแม่ยะ
              เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามมากแห่งหนึ่ง เพราะน้ำซึ่งไหลลงมาจากหน้าผาที่สูงชัน 280 เมตร ลงมากระทบ โขดหินเป็นชั้น ๆ เหมือนม่าน แล้วลงไปรวมกันที่แอ่งน้ำเบื้องล่าง น้ำใสเย็นเหมาะสำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ อีกทั้งบริเวณ รอบ ๆ น้ำตกเป็น ป่าเขาอันสงบเงียบ และมีศูนย์ประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยวตั้งอยู่ด้วย บริเวณน้ำตก สะอาดและจัดการ พื้นที่ได้กลมกลืนกับ สภาพแวดล้อม  การเดินทาง จากทางแยกเข้าทางหลวง  1009 ไป ประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าไป 14 กิโลเมตร และต้อง เดินเท้าเข้าไปอีก 200 เมตร


น้ำตกสิริภูมิ
          ไหลมาจากหน้าผาสูงชัน เป็นทางยาวสวยงามมาก สามารถมองเห็นได้จากบริเวณที่ทำการอุทยานฯ เป็นสายน้ำตกแฝดไหลลงมา คู่กันแต่เดิมเรียกว่า “เลาลึ” ตามชื่อของหัวหน้าหมู่บ้านม้งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ น้ำตกสิริภูมิตั้งอยู่ตรง กิโลเมตรที่ 31ของทางหลวงหมายเลข 1009 มีทางแยกขวามือเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร แต่รถไม่สามารถ เข้าไปใกล้ตัวน้ำตกได้กท่องเที่ยวต้องเดินเท้าเข้าไป บริเวณด้านล่างของน้ำตก


โครงการหลวงดอยอินทนนท์
         ตั้งอยู่ในบริเวณดอยอินทนนท์ ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย สถานีวิจัยโครงการหลวงอินทนนท์เป็นสถานีวิจัย ดอกไม้เมืองหนาว เป็นหลัก พรรณไม้ที่ปลูกมากที่สุดคือเบญจมาศ เพราะมีสีสันสดใส นอกจากนั้นยังมีโครงการ วิจัยสตรอว์เบอรรี่ โครงการศึกษา และรวบรวมพันธุ์เฟินชนิดต่างๆ โครงการวิจัยกาแฟ โครงการวิจัย ฝรั่งคั้นน้ำ ไม้ผล เช่น สาลี่ พลับ กีวี ทิบทิมเมล็ดนิ่ม ฯลฯ ไม้ดอก เช่น แกลดิโอลัส กุหลาบ เยอบีรา ฯลฯ ผัก เช่น พริกหวาน มะเขือเทศ เซเลอรี ฯลฯ ยังมีพืชผักสมุนไพร และไม้ผลขนาดเล็ก ซึ่งจัดจำหน่ายภายใต้ตรา "ดอยคำ"รวมทั้ง เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลาเทร้าต์สายรุ้ง นอกจากนี้ยังมีประเพณี และภูมิปัญญา ท้องถิ่นที่น่าสนใจ ได้แก่ การทำนาข้าวขั้นบันไดของเผ่ากะเหรี่ยง ประเพณีกินวอของชาวเผ่าม้งบ้านขุนกลาง และแหล่งท่องเที่ยว เพื่อ ชมความ งามธรรมชาติรอบๆพื้นที่รวมทั้งกิจกรรมดูนกและชมดาว โครงการหลวงฯ ตั้งอยู่ที่ หมู่บ้านขุนกลาง ตำบลห้วยหลวง เดินทางตามเส้นทางสู่ ดอยอินทนนท์ ถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 31 ของทางหลวงหมายเลข 1009 มีทางแยกขวามือ เป็นทางลูกรัง เข้าสู่โครงการฯอีกประมาณ 1 กิโลเมตร โครงการหลวงฯนี้ รับผิดชอบ ส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมให้แก่กะเหรี่ยงและม้งในพื้นที่





กิจกรรมที่น่าสนใจ (ชมนก)
                   จากการสำรวจพบว่ามีนกอยู่ 380 ชนิด แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และหลากหลายทางชีวภาพ ดังนั้นหากต้องการดูนก นักท่องเที่ยว สามารถชมได้ตั้งแต่ บริเวณด่านตรวจที่ 1 จนถึงยอดดอย โดยมีจุดเด่นดังนี้ บริเวณ กม. 13 , กม. 20, บริเวณที่ทำการฯ, บริเวณกม.ที่ 34.5, กม.ที่ 37 หรือจี๊ป แทรค กิ่วแม่ปาน กม. 42,บนยอด ดอยอินทนนท์ และศูนย์บริการข้อมูลนกอินทนนท์ที่ ร้านลุงแดง ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ 31 หน่วยจัดการต้นน้ำแม่กลาง ให้บริการด้านข้อมูลนกในดอยอินทนนท์ เช่น สมุดบันทึกการพบนก ในดอยอินทนนท์ ภาพวาดลายเส้นของนัก ดูนก แผนที่เส้นทางดูนกดอยอินทนนท์ ภาพถ่าย สไลด์เกี่ยวกับนก ฯลฯ ให้บริการ ทั้งชาวไทยและชาวต่าง ประเทศ ช่วงที่นักดูนกนิยมมาดูนกกันเป็นฤดูหนาว นอกจากจะได้พบนกประจำถิ่นแล้วยังสามารถพบนก อพยพ เช่น นกปากซ่อมดง  นกอุ้มบาตร  นกเด้าลมหลังเทา นกเด้าลมหลังเหลือง  นกเด้าลมดง  นกเด้าลมหัวเหลือง นกจาบปีก อ่อนเล็ก  นกจาบปีกอ่อนหงอน  นกจาบปีกอ่อนสีแดง  นกเดินดงสีน้ำตาลแดง  ฯลฯ ทางศูนย์ฯ จะบริการ ให้คำแนะนำตลอดจน เป็นสถานที่พบปะสนทนาระหว่างนักดูนก  นักศึกษาธรรมชาติและบุคคลทั่วไป  เป็นการแลก เปลี่ยนข้อมูลที่ดีต่อการอนุรักษ์และ รักษาสภาพธรรมชาติ ทำให้ทราบถึงแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่ง อาหารของนกและ สัตว์ป่าในดอยอินทนนท์  ให้คงอยู่ถึงรุ่นลูก รุ่นหลานต่อไป อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 9 ของเส้นทางหมายเลข 1009 มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ และมีนิทรรศการเกี่ยวกับธรรมชาติ สัตว์ป่า และอื่นบริเวณที่ทำการมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม




ที่พัก (โครงการหลวงอินทนนท์)








            สำรองที่พัก ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 อาทิตย์ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ โทร. 0 2562 0760 หรือ เว็บไซต์ www.dnp.go.th อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โทร. 0 5335 5728, 0 5331 1608 เว็บไซต์ www.doiinthanon.com



อาหาร (โครงการหลวงอินทนนท์)



ปลาสเตอร์เจี่ยนนึ่งซีอิ๋ว


เห็ดหอมสดทอด

ผัดฟักแม้ว

กุ้งอบซอสมะขาม


สิ่งที่ประทับใจ
       ประทับใจในความเป็นธรรมชาติที่ลงตัว อบอวลด้วยบรรยากาศน่าหลงใหล อาหารที่น่าอร่อย ยั่วยวนใจ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการถ่ายรูป มากันเลยที่ ดอยอินทนนท์.......